ถั่วพุ่มเมล็ดดำ
ถั่วพุ่ม (Cowpea : Vigna unguiculata L. Walp) เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้น ทนแล้ง และปลูกง่าย สามารถปลูกได้ทั้งใน สภาพไร่และสภาพนา (หลังเก็บเกี่ยวข้าว) เป็นพืชที่ใช้ประโยชน์ได้เอนกประสงค์ ใช้บริโภคทั้งในรูปฝักสดและเมล็ดแห้ง เมล็ดถั่วพุ่มมีคุณค่าทางโภช
นาการสูง ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรท 50-67 % และโปรตีน 23-25 % (Bressani, 1985) สามารถใช้ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ ส่วนต้นและใบของถั่วพุ่มหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว จะยังคงมีสีเขียวสด และมีโปรตีนค่อนข้างสูง สามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ดี โดยเฉพาะสัตว์เคี้ยวเอื้อง
(เมธา, 2529) หรือใช้ไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน จะให้ธาตุไนโตรเจนประมาณ 6-13 กก./ไร่ (Tarawali et al., 1997) ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับพืชที่ปลูกตามถั่วพุ่ม
ถั่วพุ่มเป็นพืชที่มีการปลูกอยู่เกือบทุกภาคของประเทศไทย โดยปลูกมากในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีทั้งพันธุ์ที่ใช้เพื่อบริโภคฝักสดและเมล็ดแห้ง ถั่วพุ่มใช้เมล็ดมีหลายสี แต่เมล็ดสีดำเป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด และขายได้ราคาดี (25-30 บาท/กก.) ซึ่งถั่วพุ่ม ใช้เมล็ดที่เกษตรกรปลูกโดยทั่วไป เป็นพันธุ์พื้นเมืองที่ให้ผลผลิตต่ำ และอ่อนแอต่อโรคใบไหม้ (bacterial leaf blight) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas campestris pv. phaseoli ดังนั้น สถาบันวิจัยพืชไร่ กรมวิชาการเกษตร โดยศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี จึงได้ปรับปรุงพันธุ์ถั่วพุ่มเมล็ดดำ เพื่อให้ได้พันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง และต้านทานต่อโรคใบไหม้ สำหรับแนะนำให้เกษตรกรปลูกทดแทนพันธุ์พื้นเมืองต่อไป
ประวัติการปรับปรุงพันธุ์
ถั่วพุ่มพันธุ์อุบลราชธานี (สายพันธุ์ CP4-2-3-1) เป็นสายพันธุ์ที่นำเข้ามาจากสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ ( International Rice Research Institute, IRRI) ประเทศฟิลิปฟินส์ ในช่วงแรกได้นำมาปลูกเพื่อศึกษาการปรับตัวและการให้ผลผลิตที่ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานีพบว่าเป็นสายพันธุ์ที่ปรับตัวได้ดีและให้ผลผลิตสูง จึงได้เริ่มพัฒนาสายพันธุ์ให้บริสุทธิ์ด้วยการคัดเลือกพันธุ์ ระหว่างปี 2540-2541 รวม 4 ฤดูปลูก จนกระทั่งได้ สายพันธุ์บริสุทธิ์ที่มีลักษณะประจำพันธุ์ตรงตามพันธุ์แล้ว จากนั้นจึงประเมินผลผลิตเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ และพันธุ์พื้นเมือง ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่และสถานีทดลองพืชไร่ต่างๆ ตลอดจนในสภาพไร่นาของเกษตรกร ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งสิ้น 8 แปลงทดลอง 5 แปลงทดสอบ ตั้งแต่ปี 2540-2544 และได้รวบรวมข้อมูลเพื่อขอแนะนำพันธุ์ในปี 2545 ซึ่งได้ผ่านมติคณะอนุกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์และขยายพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2546
ลักษณะประจำพันธุ์
จากการศึกษาลักษณะของถั่วพุ่มพันธุ์อุบลราชธานี เปรียบเทียบกับพันธุ์พื้นเมืองจากจังหวัดเลย พบว่ามีลักษณะทางพฤกษศาสตร์และลักษณะทางการเกษตร ดังนี้
ลักษณะ พันธุ์อุบลราชธานี พันธุ์พื้นเมืองจากจังหวัเลย
รูปแบบการเจริญเติบโต ทองยอด ทองยอด
ลักษณะทรงพุ่ม กึ่งเลื้อย กึ่งเลื้อย
ลักษณะใบย่อยใบกลาง ใบรูปกลม ขนาดใหญ่ รูปแบบการเจริญเติบโต
สีบนใบ เขียวอ่อน เขียวเข้ม
สีของกลีบดอก ม่วงอ่อน ม่วงเข้ม
สีฝักสด เขียวอ่อน เขียว
สีฝักแห้ง ฟางข้าว ฟางข้าว
สีเปลือกหุ้มเมล็ด ดำ ดำ
สีของขั้วเมล็ด ขาว ขาว
รูปร่างเมล็ด รูปไต รูปไต
ตำแหน่งของช่อดอก ช่อดอกอยู่เหนือและในทรงพุ่ม ช่อดอกอยู่ในทรงพุ่ม
รูปร่างฝัก ยาว ค่อนข้างแคบ โค้งเล็กน้อย สั้น กลม โค้งเล็กน้อย
ลักษณะทางการเกษตร
ลักษณะ พันธุ์อุบลราชธานี พันธุ์พื้นเมืองจากจังหวัเลย
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ * ระดับการเป็นโรคใบไหม้ *
* ระดับ 1 จำนวนต้นเป็นโรค 1-25 % ระดับ 3 จำนวนต้นเป็นโรค 51-75 %
ลักษณะดีเด่น
1. ให้ผลผลิตสูงในสภาพไร่ ให้ผลผลิตเฉลี่ย 175 กก./ไร่ สูงกว่าพันธุ์พื้นเมืองจากจังหวัดเลยซึ่งให้ผลผลิตเฉลี่ย 128 กก./ไร่ ประมาณ37 % และในสภาพนา (หลังเก็บเกี่ยวข้าว) ให้ผลผลิตเฉลี่ย 183 กก./ไร่ สูงกว่าพันธุ์พื้นเมืองจากจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งให้ผลผลิตเฉลี่ย 168 กก./ไร่ประมาณ 9 %
2. ต้านทานโรคใบไหม้ ถั่วพุ่มพันธุ์อุบลราชธานี มีระดับการเป็นโรคใบไหม้ ระดับ 1 (จำนวนต้นที่เป็นโรคใบไหม้ 1-25 %) เมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์พื้นเมืองจากจังหวัดเลย ที่มีระดับการเป็นโรคใบไหม้ ระดับ 3 (จำนวนต้นที่เป็นโรคใบไหม้ 51-75 %)
3. ให้มวลชีวภาพสูง เมื่อปลูกต้นฤดูฝน ให้มวลชีวภาพแห้งที่อายุ 60-65 วันหลังงอก (ระยะเริ่มมีฝักสุกแก่) เฉลี่ย 1,274 กก./ไร่ สูงกว่าพันธุ์ พื้นเมืองจากจังหวัดเลยประมาณ 20 % และมีปริมาณธาตุอาหารสูง โดยมีไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เท่ากับ 31.2 4.2 และ 24.0 กก./ไร่ ตามลำดับ ซึ่งในระยะดังกล่าว นอกจากจะให้มวลชีวภาพสูง เหมาะแก่การไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดินแล้ว ยังสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตเมล็ดได้ 1 ครั้ง ก่อนการไถกลบ
ข้อมูลการปลูก
นอกจากข้อมูลทางด้านพันธุ์แล้ว ยังได้ศึกษาข้อมูลประกอบด้านอื่นๆ เพื่อเป็นคำแนะนำในการปลูกถั่วพุ่มพันธุ์นี้ ดังนี้
1. วันปลูก วันปลูกที่เหมาะสมของถั่วพุ่มพันธุ์อุบลราชธานี คือ ต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งให้ผลผลิตเมล็ดสูงสุด ทั้งนี้เพราะว่าการปลูกในช่วงดังกล่าวให้จำนวนฝักต่อต้น จำนวนเมล็ดต่อฝัก และเปอร์เซ็นต์การกะเทาะสูง นอกจากนี้ การปลูกในเดือนพฤษภาคม ยังให้มวลชีวภาพและปริมาณธาตุอาหารสูงด้วย (จำลองและคณะ, 2544)
2. ระยะปลูก ระยะปลูกที่เหมาะสมของถั่วพุ่มพันธุ์อุบลราชธานี คือ ระยะ 75x50 ซม. 2 ต้น/หลุมซึ่งเป็นระยะปลูกที่ให้ผลผลิตเมล็ดสูงสุด (พรพรรณและคณะ, 2543)
3. การตอบสนองต่อปุ๋ยเคมี เมื่อปลูกถั่วพุ่มพันธุ์อุบลราชธานี ในสภาพดินร่วนปนทราย ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ (pH 4.75-5.10 อินทรียวัตถุ 0.35-0.70 % ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ 33-82 ส่วนในล้านส่วน และโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ 26-37 ส่วนในล้านส่วน) พบว่าตอบสนองต่อปุ๋ยเคมีอัตรา 1.5-3-1.5 กก.ของ N-P2O5-K2O/ไร่ ซึ่งเป็นอัตราปุ๋ยที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าต่อการลงทุน (จำลองและคณะ, 2543)
4. การกะเทาะเมล็ด การกะเทาะเมล็ดถั่วพุ่มพันธุ์อุบลราชธานี โดยใช้เครื่องกะเทาะเมล็ดถั่วเขียว พบว่าควรใช้ความเร็วรอบของลูกนวดที่ 400 รอบ/นาที และกะเทาะขณะที่เมล็ดมีความชื้นประมาณ 18.0 % จะให้เปอร์เซ็นต์เมล็ดแตกหักต่ำ และไม่มีผลกระทบต่อความงอกของเมล็ดนอกจากนี้ ยังทำให้ประหยัดแรงงานกว่าการใช้แรงงานคนฟาดด้วยไม้ไผ่ และการใช้แรงงานคนแกะด้วยมือ ประมาณ 8 และ 23 เท่า ตามลำดับ (ศิริรัตน์และพรพรรณ, 2544)
ข้อควรระวัง การปลูกถั่วพุ่มพันธุ์อุบลราชธานี มีข้อควรระวังเช่นเดียวกับพันธุ์พื้นเมือง คือ ไม่ต้านทานต่อแมลงศัตรู ได้แก่ หนอนแมลงวัน
เจาะลำต้นถั่ว เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และหนอนเจาะฝักถั่วมารูคา
พื้นที่แนะนำ ถั่วพุ่มพันธุ์อุบลราชธานี สามารถปลูกได้ในแหล่งปลูกทั่วไป และให้ผลผลิตสูงในแหล่งปลูกจังหวัดเลย และเชียงใหม ่ และปลูก
ได้ตลอดทั้งปี แต่ฤดูปลูกที่เหมาะสมคือ ต้นฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม)
การศึกษาการปลูกถั่วพุ่มตามหลังนาข้าวในดินเค็ม
ชัยนาม ดิสถาพร, สมศรี อรุณินท์, พรรณี รุ่งแสงจันทร์ และ อรุณี ยูวะนิยม
บทคัดย่อ
การศึกษาผลของการปลูกถั่วพุ่มตามหลังนาข้าวในดินเค็มชุดร้อยเอ็ดที่สถานีทดลองพืชไร่กาฬสินธ์ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธ์ ระหว่าง พ.ศ. 2531-2532 ความเค็มของดินก่อนปลูกข้าวเป็น 8.12 dS/m และ 1.73 dS/m ตามลำดับ พบว่ามีแนวโน้มที่เป็นไปได้ในการปลูกถั่วพุ่มภายหลังการทำนาในบริเวณดินเค็ม โดยการปลูกถั่วพุ่มด้วยระยะปลูก 25X50 ซม. และหยอดเมล็ดลงในตอซังข้าวโดยไม่จำเป็นต้องมีการเตรียมดินและอาจจะมีการคลุมฟางควบคู่ไปด้วย
คำสำคัญ: ถั่วพุ่ม, ข้าว, ดินเค็ม
การบำรุงพื้นนาให้สมบูรณ์โดยใช้ถั่วพุ่ม
วันที่ส่ง SMS : 02 ตุลาคม 2552
รอบเวลาที่ส่ง : 15:30 น.
ข้อความ :
ข้าว(1)การบำรุงพื้นนาให้สมบูรณ์หลังเก็บเกี่ยวปลูกถั่วพุ่มบำรุงดิน
ข้าว(2)อัตราการหว่าน 3 กก./ไร่หลังปลูกถั่วเริ่มออกดอกให้ไถกลบเป็นปุ๋ย
หลังจากผ่านฤดูกาลทำนา เก็บเกี่ยวข้าวในนาหมดแล้ว เกษตรกรบางท่านปล่อยพื้นที่นาไว้โดยไม่ได้บำรุงพื้นที่นาเพื่อเตรียมไว้ในช่วงฤดูกาลหน้า แต่สำหรับป้าเจือ สิงโหพล เกษตรกรที่ทำนาในพื้นที่ อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งปลูกข้าวนาปรัง และข้าวพันธุ์ที่ปลูกนั้นคือ ข้าวพันธุ์เล็บนก พันธุ์สังข์หยด และข้าวพันธุ์หอมมะลิ ป้าเจือบอกว่าโดยวิธีการของป้าเจือหลังจากเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยวในแต่ละพื้นที่นาแล้ว จะตัดตอซังข้าวออกนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพโดยใส่ไว้ในคอกวัวและคอกหมูหลุม
________________________________________
ส่วนพื้นที่นานั้นจะมีวิธีการปรับสภาพดินให้ดีรอเตรียมไว้ปลูกข้าวในครั้งต่อไปโดยมีวิธีการปรับสภาพดินดังต่อไปนี้
1.ทำการตัดตอซังข้าวออกจากพื้นนา (สามารถเอาตอซังข้าวไปใส่ในคอกวัวหรือหมูหลุมเพื่อทำเป็นปุ๋ยหมักได้)
2.หว่านเมล็ดพันธุ์ถั่วพุ่มลงไปในพื้นนา อัตราการหว่าน 3 กิโลกรัม / 1 ไร่
3.หลังจากหว่านเมล็ดพันธุ์ทั่วพื้นที่นาแล้ว ให้ทำการไถกลบ
4.หลังจากถั่วพุ่มที่หว่านงอกและโตขึ้นในระดับพอเริ่มตั้งดอกให้ทำการไถกลบถั่วพุ่มที่ปลูกในพื้นที่นาอีกครั้ง
5.เมื่อไถกลบเรียบร้อยแล้วให้ปล่อยน้ำเข้านาให้น้ำขังในพื้นนารอช่วงที่จะทำนาครั้งต่อไป
6.และเมื่อเราจะเริ่มทำนารอบต่อไปให้เราทำการไถนาพื้นที่นานั้นเพื่อทำเทือก พร้อมสำหรับการหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว
สำหรับวิธีการปรับสภาพดินโดยวิธีการข้างต้นนั้น ป้าเจือบอกว่าจะช่วยให้สภาพดินดี ปลูกข้าวครั้งต่อไปจะขึ้นงาม ต้นข้าวแข็งแรงสมบูรณ์
ขอบคุณข้อมูล ป้าเจือ สิงโหพล เกษตรกร อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช
หมายเลขโทรศัพท์ 085 8821852
ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร *๑๖๗๗
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.นครศรีธรรมราช
ถั่วพุ่ม เป็นพืชปุ๋ยสด (พืชที่ใช้ปลูกแล้วไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสด) ที่เหมาะจะปลูกในพื้นที่นาดอนให้น้ำหนักสด (เป็นปุ๋ยอินทรีย์) ประมาณ 1.6-2 ตันต่อไร่ ให้ธาตุไนโตรเจนคิดเทียบเป็นปุ๋ยยูเรียประมาณ 13 กิโลกรัมต่อไร่
พันธุ์
ไม่ระบุพันธุ์ ใช้พันธุ์อะไรก็ได้
การปลูก
ควรปลูกถั่วพุ่มเป็นปุ๋ยพืชสดในช่วงต้นฤดูฝน (ก่อนปลูกข้าว)
การเตรียมดิน
ทำการไถเตรียมดิน 1 ครั้ง เพื่อกำจัดวัชพืชและทำให้ดินร่วนซุยเหมาะกับการงอกของเมล็ด
การเตรียมเมล็ดพันธุ์
ควรคัดเลือกเมล็ดลีบและเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ออก ให้เหลือแต่เมล็ดที่สมบูรณ์
ควรคลุกเมล็ดถั่วพุ่มด้วยไรโซเบียมของถั่วพุ่มก่อนปลูก (สั่งซื้อล่วงหน้าได้ที่กองปฐพีวิทยา กรมวิชาการเกษตร)
เพื่อช่วยให้ถั่วพุ่ม เจริญเติบโตได้ดี โดยใช้ถั่วพุ่ม 6 กิโลกรัม ต่อไรโซเบียม 1 ถุง ใช้น้ำมันพืช หรือน้ำซาวข้าว หรือ
น้ำธรรมดาผสมในขณะคลุกเมล็ด เพื่อช่วยให้ไรโซเบียมติดเมล็ดดีขึ้น
การปลูก
ปลูกโดยวิธีหว่าน ใช้เมล็ดถั่วพุ่ม 6 กิโลกรัม หว่านให้ทั่วใน 1 ไร่
การดูแลรักษา
ปกติไม่ต้องดูแลรักษา หากมีความชื้นเพียงพอ ถั่วพุ่มไม่ชอบน้ำขัง
การไถกลบ
เมื่อถั่วพุ่มอายุได้ประมาณ 50-65 วัน ให้ทำการไถกลบดิน และในขณะไถกลบดินควรมีความชื้น หรือเอาน้ำ
เข้านาก่อนไถกลบ ระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ถั่วพุ่มออกดอก ต้นจะสมบูรณ์และมีธาตุอาหารสูงสุด
หลังจากไถกลบแล้วทิ้ง ให้ถั่วพุ่มสลายตัวประมาณ 10-15 วัน จึงปลูกข้าวหรือปักดำข้าวตามได้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ กำลังจะเอาไปเขียนรายงานเลย^^
ตอบลบปลูกในร่องมันสำปะหลังกว้าง 120 ซม.สามารถปลูกได้มั้ยครับ กรณีปลูกเก็บฝักไว้กิน
ตอบลบปลูกในร่องมันสำปะหลังกว้าง 120 ซม.สามารถปลูกได้มั้ยครับ กรณีปลูกเก็บฝักไว้กิน
ตอบลบ